Wednesday, December 9, 2015

รีวิวโรงแรมกำแพงงาม จังหวัดเชียงใหม่







 เมื่อช่วงวันพ่อที่ผ่านมาเดินทางไปพักผ่อนที่เชียงใหม่ค่ะ แฟนจองโรงแรมกำแพงงามเอาไว้ ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่ซอยกำแพงดิน หากใครมาพักช่วงเสาร์-อาทิตย์ แล้วต้องการไปเดินเล่นตลาดถนนคนเดิน ก็สามารถเดินจากที่นี่ไปได้ แต่แอบไกลอยู่ หากเดินไปถนนคนเดินวัวลายก็ประมาณ 10 นาทีได้ หากเดินไปถนนคนเดินท่าแพก็ไม่เกิน 10 นาทีนะ
เราพัก 3 วัน 2 คืน แบบไม่มีอาหารเช้า ตกที่คืนละ 2150 บาท สำหรับห้อง 2 คน

บรรยากาศภายในโรงแรมนับว่าโอเคเลย มีสระว่ายน้ำ มีโซนนั่งเล่นในโรงแรม และ หน้าโรงแรม
ห้องพักก็กว้างขวาง มีเซ็ตผลไม้ต้อนรับแขก

ห้องน้ำแอบกรี๊ดดด นิดนึง ไม่รู้ว่าเป็นทุกห้องหรือเปล่า ห้องเราทำห้องน้ำแบบผนังกระจก มองทะลุเห็นทุกสรรพสิ่ง แต่โซนอาบน้ำ กับ ชักโครก มีผ้าม่านปิด ไม่รู้สิ รู้สึกโหวงๆ อยู่ดีนะ

ที่นี่คนจีนมาพักเยอะมาก ตอนนั่งทานอาหารเช้าได้ยินแต่เสียงคนจีนคุยกัน

ตอนกลางคืนกำลังนอนอยู่ ได้ยินคนข้างนอกห้องคุยกันชัดเจนมาก และเป็นคนจีน ไม่รู้ว่าเค้าคุยดังหรือผนังห้องบางเองหรือว่าอย่างไร











Sky bus Tokyo อีกทางเลือกใหม่สำหรับคนชอบนั่งรถชมวิว




 สำหรับคนที่จะไปเที่ยวโตแล้วชอบนั่งรถเล่นชมวิวเราขอแนะนำ Sky bus Tokyo ค่ะ เป็นรถทัวร์ที่พาเราชมวิวในเมืองโตเกียว ซึ่งจะมีหลายเส้นทางและหลายรูปแบบด้วยกัน


แบบแรก คือ Sky bus tour without a stopover เป็นรถบัสเปิดหลังคาพาเราเที่ยวชมเมืองแบบไม่มีจอดพัก มีไกด์ประจำรถ พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ไกด์จะแจกหูฟังให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนไว้สำหรับฟังคำบรรยายซึ่งมี 3 ภาษา คือ อังกฤษ จีน เกาหลี

สถานีเริ่มต้นจะอยู่ที่ อาคารมิตซูบิชิ ใกล้สถานีโตเกียว ต้องเข้าไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์ก่อนแล้วค่อยมารอที่สถานีจอดรถ

รถประเภทนี้มีหลายเส้นทางเช่นกัน อย่างเราเลือกเส้นทาง โตเกียว ทาวเวอร์ สะพานเรนโบว์  จะออกจากสถานีเริ่มต้น ขับผ่านไปยังปราสาท Imperial โตเกียวทาวเวอร์ ข้ามสะพานเรนโบว์ ผ่านย่านกินซ่า และกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง ตลอดระยะทางไกด์จะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตลอดเวลา

ระยะเวลาของการเดินรถทัวร์ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ค่าตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ 1,800 เยน เด็ก 800 เยน 









อีกแบบหนึ่งที่เคยได้ไปลองขึ้นมาคือ Sky duck ค่ะ เป็นรถที่ออกแบบมาให้เป็นได้ทั้งรถและเรือ รถจะมีลักษณะที่ค่อนข้างเด่นมาก ขับไปไหน ใครๆก็มอง พากันถ่ายรูปอีกต่างหาก

รถทัวร์นี้สถานีเริ่มต้นอยู่ตรงข้าม โตเกียวสกายทรีค่ะ มีสองเส้นทาง คือ เส้นทางโตเกียวสกายทรี และ คะเมโดะ ซึ่งทั้งสองเส้นทางอยู่ในระแวกเดียวกัน เราเลือกโตเกียวสกายทรีค่ะ รถทัวร์จะขับวนรอบโตเกียวสกายทรี และพาชมเมืองรอบๆ และตรงไปยังแม่น้ำซึ่งรถจะแปลงเป็นเรือทันที ขับแล่นในแม่น้ำสักประมาณ 10 นาทีได้ แล้วก็ขึ้นมายังที่เดิม ขับวนรถกลับไปยังสถานี

ไกด์นี้จะพูดแต่ภาษาญี่ปุ่นค่ะ ลูกทัวร์ก็คนญี่ปุ่นทั้งนั้น ตอนอยู่บนรถไกด์จะแจกนกหวีดทรงเป็ดด้วยค่ะ เวลาเป่าจะมีเสียงเป็ดรอดออกมา เอาไว้ทักทายคนอื่นๆ เวลารถแล่นผ่าน

ใช้เวลาประมาณ 100 นาทีได้ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 2,900 เยน เด็ก 1,400 เยนค่ะ





ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์  http://www.skybus.jp/ ค่ะ


Thursday, November 26, 2015

แนะนำ Oak Hotel ที่พักน่ารักๆ ใกล้ Ueno โตเกียว



วันนี้ขอพูดเรื่องโรงแรมที่ไปพักมาบ้างหลังจากที่ได้เขียนเรื่องราวที่ได้เดินทางไปโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเอาไว้
นี่เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกและเป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกของชั้น

ชั้นเลือกพักที่ Oak Hotel เป็นโรงแรมที่ให้บรรยากาศไปทาง Hostel คือให้ความรู้สึกเป็นกันเอง มีส่วนกลางที่นักท่องเที่ยวที่พักที่นี่สามารถพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้ ที่นี่มีทั้งห้องสำหรับนอนคนเดียว นอน 2 คน หรือหากมาเป็นกลุ่มก็จะมีห้องสำหรับ 4 คนให้

แน่นอนว่าชั้นมาคนเดียว ชั้นก็ต้องเลือกนอนห้องคนเดียว

ก่อนที่จะเลือกจองที่พักกับที่นี่ ที่จริงแล้วชั้นตั้งใจจะพัก Hostel สักที่หนึ่งเพราะชั้นชอบบรรยากาศของมัน ชั้นไม่ชอบพักที่หรูๆ เพราะมันทำให้ชั้นรู้สึกเหงาแปลกๆ ยิ่งมาคนเดียวแบบนี้ด้วย ไม่รู้นะ..ชั้นเป็นคนที่เวลาอยู่ในที่ไฮโซ ฟู่ฟ่า หรูหรา ชั้นจะรู้สึกอึกอัด อาจจะเป็นเพราะเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบบ้านๆ บ้านชั้นนี่เป็นบ้านสวนแท้ๆ ชินอยู่กับวิถีชาวบ้านๆ มาตั้งแต่เกิด พอเข้ามหาลัย เจอคนหลายๆสังคม หลายๆฐานะ ตั้งแต่เด็กทุนยากไร้ยันลูกท่านหลานเธอ ก็คบได้ คุยได้ แต่สุดท้ายกลุ่มคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ สนิทใจที่สุด ก็คือคนที่ติดดินมีวิถีชาวบ้านทั่วไปเหมือนกัน พวกคุณหนูใช้แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้านี่ส่วนใหญ่คุยกันไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ อยู่ด้วยแล้วอึดอัด จบมาทำงานลอเฟิร์มอินเตอร์ ยิ่งแล้วใหญ่ มีงานทีก็มีแต่อะไรหรูๆ อยู่ได้มั้ย อยู่ได้ แต่อึดอัด


จบการคุยเรื่องส่วนตัว มาคุยเรื่องที่พักต่อ



สุดท้ายเลือกจองที่ Oak Hotel เพราะติดสินใจอยากอยู่ห้องเดี่ยว คิดว่าถ้าไปนอนรวมกับคนอื่นเค้าคงเป็นภาระ เพราะนอนกรนดังมาก และด้วย ณ ตอนนั้น Hostel อื่นๆ ที่เราเล็งไว้ ห้องเดี่ยวเต็มหมด มาหาที่ Hostelworld.com ก็เจอที่นี่พอดี อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Inaricho ถัดจากสถานีนี้ 1 สถานี ก็เป็นสถานี Ueno ที่สามารถไปเดินเล่นสวนสาธารณะอุเอโนะ หรือตลาดอะเมะโยะโกะ โชเต็งไกได้ หรือถัดไปอีก 2 สถานีจาก Inaricho ก็เป็นสถานี Asakusa ง่ายต่อการเดินทางท่องเที่ยวพอสมควร

ห้องที่ชั้นพักเป็นห้องเดี่ยวแบบเตียงธรรมดา จะมีห้องเดี่ยวอีกแบบคือเป็นที่นอนฟูตง

มีห้องน้ำเล็กๆในตัว มีทีวี โต๊ะเขียนหนังสือ ไดร์เป่าผม บริการในห้อง นอกจากนี้ยังมีชุดยูกาตะไว้สำหรับใส่นอนสบายๆด้วย




ที่โรงแรมมีปลั๊กสำรองทุกแบบไว้ให้แขกที่มาพักยืมด้วย แต่ต้องเสียค่าประกัน 1000 เยนนะ

ส่วนกลางก็มีคอมพิวเตอร์ไว้ให้เล่นฟรีๆ สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คลิ๊กเปิดอะไรที จะมีหน้าโฆษณาเกาหลีขึ้นแทรกตลอด ไม่รู้ใครมาบอมไว้ นอกจากนี้ก็มีครัวให้เตรียมอาหารเองฟรีๆ มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญให้ใช้
พนักงานก็น่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ และดูกระตือรือร้นในการทำงานดี



ชั้นมีความสุขที่ได้พักที่นี่นะ แม้ห้องจะเล็กแต่ก็เพียงพอสำหรับชั้น รู้สึกสบายใจดี ตอนที่ไปอากาศหนาวประมาณ 13 องศา แต่ห้องนอนกับผ้าห่มหนาๆนุ่มๆที่โรงแรมเตรียมไว้ แค่นี้ก็อบอุ่นพอแล้ว ที่ล็อบบี้มีที่นั่งให้ชั้นได้นั่งเขียนไดอารี่บันทึกเรื่องราวท่องเที่ยวที่ได้เจอมาตลอดทั้งวัน พร้อมๆกับได้พบได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่มาพักที่นี่ จะเดินทางไปไหนก็สะดวก ร้านสะดวกซื้อก็อยู่ไม่ไกล ตอนกลางคืนบริเวณรอบๆก็ไม่น่ากลัว

ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่นึงที่น่าเก็บไว้พิจารณา

ยิ่งเขียนอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่น ก็ยิ่งคิดถึงนะ ชั้นยังคงจำทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึก และความสุขที่ทำเอาชั้นน้ำตาไหลไปหลายรอบได้เป็นอย่างดี

ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตา ทำงานทำการ หาเงินต่อไป


Tuesday, November 24, 2015

ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” DAY4-5



ชั้นตื่นมาเวลาเดิมพร้อมกับความคิดที่ว่าวันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ชั้นต้องเดินทางกลับไทย วันนี้ชั้นต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มที่สุด


ชั้นเดินทางไปสถานีโตเกียวโดยรถไฟ JR เนื่องจากที่นั่นมีบริการรถบัสเที่ยวชมเมืองที่ชื่อว่า Sky Bus Tokyo เมื่อชั้นออกจากสถานีโตเกียวชั้นพยายามมองหาตึก Mitsubishi แต่หาไม่เจอ ชั้นเลยกลับไปที่สถานีเพื่อถามทางกับเจ้าหน้าที่ ชั้นตัดสินใจถามเป็นภาษาญี่ปุ่น และนี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้พูดภาษาญี่ปุ่นแบบเป็นประโยคเต็มๆ ครั้งแรก ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาจากเจ้าหน้าที่นั้นกลับเป็นภาษาอังกฤษ ชั้นก็เข้าใจว่าหน้าของชั้นมันไม่ญี่ปุ่นเลยสักนิด


ชั้นไปตามทางที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ก็พบว่ามันไม่ได้ไกลจากสถานีโตเกียวเลยสักนิด ชั้นเข้าไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์ ชั้นเลือกเส้นทาง Tokyo Tower และสะพานเรนโบว์ แบบ Non-Stop คือ ไม่มีการจอดให้คนลงระหว่างทาง
พนักงานแจกเสื้อกันฝน เนื่องจากที่นั่งยังชื้นๆจากเมื่อวานที่ฝนตกทั้งวัน และหูฟัง สามารถฟังคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษได้

รอบนี้มีแต่คนญี่ปุ่นอีกแล้ว


รถบัสเที่ยวนี้ขับผ่าน ปราสาท Imperial โตเกียวทาวเวอร์ สะพานเรนโบว์ กินซ่า ฮิบิยะ แล้ววนกลับมาที่เดิม ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ได้ ระหว่างที่รถแล่นไปตามเส้นทาง ไกด์ญี่ปุ่นก็บรรยายสถานที่ไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลาแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม ช่วงจังหวะที่รถกำลังขับข้ามสะพานเรนโบว์ด้วยความเร็วระดับหนึ่ง ชั้นอยากจะตะโกนดังๆจริงๆเลยว่า “ไม่อยากกลับเลยโว้ยยยยยย” แต่ชั้นก็เกรงใจไกด์และคนญี่ปุ่นที่นั่งมาด้วย ชั้นเลยทำได้แค่ตะโกนในใจตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมา 




เมื่อรถบัสวนกลับมาจอดที่ตึก Mitsubishi เป็นอันสิ้นสุดทัวร์รอบนี้ จุดหมายต่อไปคือ Odaiba ชั้นนั่งรถไฟไปลง Shimbashi เพื่อไปต่อรถไฟ Yurikamome ซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งไปยัง Odaiba ณ ตอนที่ชั้นเดินขึ้นไปยังชานชาลา มีรถไฟมารอเทียบชานชาลาพร้อมเดินทางอยู่แล้วแต่ชั้นเลือกที่จะยืนรอรถไฟขบวนถัดไป และรอจุดทางขึ้นประตูทางเข้าแรก เพื่อที่จะได้ที่นั่งหน้าสุด ชั้นรอเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ชั้นก็ได้ขึ้นรถไฟและได้ที่นั่งที่ชั้นตั้งใจไว้ เนื่องจากหัวขบวนรถไฟนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นกระจกสามารถมองทางข้างหน้าได้ การได้นั่งข้างหน้าจะทำให้ได้เห็นมุมมองที่กว้างออกไป

ชั้นนั่งไปจนถึงสถานีสุดท้าย เพราะเพียงแค่อยากนั่งรถไฟชมเกาะก็เท่านั้น บริเวณแถวนั้นมีสวนสาธารณะที่หลายๆครอบครัวพากันมานั่งพักผ่อน ชมวิวทะเล ที่นี่เงียบสงบ บรรยากาศดีจริงๆ 



หลังจากเดินรอบสวนสาธารณะนี้แล้วชั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานีใกล้ๆ Aqua City ซึ่งเป็นห้างใหญ่ของเกาะนี้ และบริเวณรอบๆห้างก็มีสิ่งที่น่าสนใจเช่น เทพีเสรีภาพจำลอง ที่พักชมวิวที่สามารถมองเห็นสะพานเรนโบว์ และยังมีหาดที่ผู้คนสามารถลงไปเล่นกันได้ แต่ ณ วันที่ชั้นไปไม่มีคนลงไปเล่นเท่าไหร่นัก เพราะอากาศมันก็เย็นพออยู่แล้ว คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวเล่นแถวนี้เยอะมาก ชั้นเห็นคนไทยใส่ชุดครุยรับปริญญามาถ่ายรูปคู่กับเทพีเสรีภาพจำลองอยู่ 2 คนด้วยนะ นอกจากนี้ก็เห็นมีแข่งวิ่งมาราธอน

ถึงแม้ว่าที่นี่คนจะเยอะ แต่ก็ยังสงบ สมกับที่คนญี่ปุ่นสร้างเกาะนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักผ่อนของเมืองโตเกียวจริงๆ










เสร็จสิ้นการเที่ยวชมที่ โอไดบะ จุดหมายที่ชั้นจะไปต่อก็คือ ชิบูย่า ชั้นไปอีกแล้ว ชั้นไปทุกคืนจริงๆ และเพราะมันเป็นคืนสุดท้ายเนี่ยแหละ ชั้นถึงไปชิบูย่าแต่หัววัน ชั้นแค่อยากใช้เวลาคืนสุดท้ายกับที่ที่ชั้นชอบมากที่สุด เชื่อมั้ยว่าทั้งวันนั้นชั้นยังไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ อยู่ได้เพียงแค่น้ำขวดเดียว มันเป็นปกติของชั้นนะเวลาไปต่างประเทศ ชั้นจะไม่เจริญอาหาร แม้ว่าชั้นจะชอบอาหารญี่ปุ่นมากแค่ไหนก็ตาม

แต่ก่อนที่ชั้นจะเป็นลมไปแบบไม่รู้ตัว ชั้นควรจะหาอะไรทานสักนิดนึง ชั้นเลยตัดสินใจไปร้านซูชิที่ชิบูย่า เป็นร้านที่สามารถสั่งอาหารได้จากหน้าจอส่วนตัวบนที่นั่งของตัวเอง สักพักอาหารที่เราสั่งไปจะส่งมาตามสายพานและมาจอดที่ด้านหน้าเรา 



เวลานั้นคนไม่เยอะสักเท่าไหร่ รอไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งข้างในร้านแล้ว ชั้นสั่งซูชิแค่ไม่กี่จานชั้นก็อิ่มแล้วล่ะ เด็กเกาหลีที่นั่งข้างชั้นนี่สั่งซะจานที่กินเสร็จตั้งจะสูงกว่าหัวเขาอยู่แล้ว ถ้าชั้นยังเป็นเด็ก ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ชั้นคงสั่งกระจุยเหมือนกันล่ะ ก็หน้าจอที่สั่งอาหารมันหน้ากดเล่นซะขนาดนั้น



ทานเสร็จชั้นก็เดินเล่นรอบชิบูย่าเหมือนเดิม ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ ความรู้สึกคงเหมือนตอนชั้นมาเดินเที่ยวสยามสแควร์ใหม่ๆตอนอายุ 15 คราวนี้ชั้นเริ่มเข้าไปเดินเล่นในร้านแล้วล่ะ ทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านขายของ แค่ดูจริงๆ ไม่คิดจะซื้ออะไรเลย และก็เข้าไปในร้าน Tower Record ร้านขายซีดีเพลง อารมณ์แบบ Dj สยาม บ้านเรา ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่มั้ย วันนั้นมีศิลปินมาเปิดตัวที่ร้านด้วยมีแฟนคลับจำนวนนึงมายืนรอหน้าเวทีที่ตั้งอยู่ในร้าน ชั้นก็เอากับเค้าด้วย ไม่รู้หรอกว่าใครมาแต่อยากดู จนกระทั่งศิลปินขึ้นมาทักทายแฟนคลับ เริ่มร้องเพลง ชั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนแนะนำตัวชั้นก็ฟังไม่ทัน รู้แต่ว่าเป็นศิลปินเกาหลีชัวร์ๆ



หลังจากชั้นเดินออกจากร้านชั้นก็ตัดสินใจไปต่อคิวสตาร์บัค เพื่อขึ้นไปนั่งบนร้านตรงด้านที่หันหน้าเข้าทางข้ามชิบูย่า ชั้นเล็งมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตอนนี้เวลามีเหลือเฟือเลยขอขึ้นไปสักครั้ง ชั้นสั่งวานิลลาปั่น แล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งด้านบน โชคดีว่าคนญี่ปุ่นที่นั่งตรงที่ติดกระจกกำลังลุกพอดี ชั้นเลยได้ที่นั่งตรงจุดนั้นไป แม้ว่าจะเป็นด้านที่ไม่ได้หันหน้าเข้าใจกลางทางข้ามชิบูย่าตรงๆ แต่ชั้นก็โอเคล่ะ

ระหว่างที่ชั้นนั่งอยู่ในร้านสตาร์บัค ชั้นก็เอาไดอารี่ของตัวเองที่ตั้งใจเอามาเขียนบันทึกการเดินทางในโตเกียวนี้มาเขียน เชื่อมั้ย เขียนไป น้ำตาไหลไป ดีนะนั่งอยู่ตรงหัวมุม คนไม่ค่อยสังเกตุเห็น เวลานั้นชั้นอยากจะหยุดเวลาได้จริงๆ ชั้นว่าชั้นรู้แล้วล่ะ ว่าชั้นควรกำหนดเส้นทางตัวเองไปทางไหน ก่อนมาที่นี่ชั้นมีแผนชีวิตตัวเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานฟรีแลนซ์สายกฎหมายตลอดชีวิต หรือ การกลับไปทำงานใน Law Firm ในไทยอีกครั้ง หรือ การหลีกเลี่ยงการทำงานและไปเรียนต่อโทกฎหมายในไทยไปก่อนพลางๆเพราะไม่มีตังค์ไปต่อนอก หรือ การทำงานอะไรสักอย่างเพื่อหาเงินพาตัวเองไปต่อโทกฎหมายที่อเมริกา อังกฤษ อย่างที่หลายๆคนในสังคมรอบตัวชั้นมองว่าดี แผนที่ว่ามาน่ะ ในใจจริงๆ ชั้นไม่อยากทำสักอย่างเลยนะ แต่เชื่อมั้ยว่าไม่ว่าชั้นจะอยู่ในสถานการณ์ไหน 1 ใน แผนชีวิตที่ชั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกจะต้องมีการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าตัวเองจะเป็นเด็ก ม ปลาย เรียนมหาวิทยาลัย ทำงาน Law Firm เป็นฟรีแลนซ์ แผนการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมันจะต้องมีตลอด และมันจะเป็นแผนที่ชั้นจะอยู่ในจุดที่ยังทำไม่ได้แต่มีความสุขเวลานึกถึงทุกครั้ง ชั้นคิดว่าชั้นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไปยังจุดตรงนั้นแล้วล่ะ เลิกคิดที่จะไปตามทางที่คนรอบข้างมองว่าดีแต่ตัวเองไม่ได้มีความสุขที่จะได้ทำจริงๆซักทีเถอะนะ


ชั้นเดินออกมาจากร้านสตาร์บัคแล้วไปนั่งตรงที่นั่งบริเวณทางข้ามชิบูย่า พรุ่งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วนะ ชั้นมองขึ้นไปบนตึกต่างๆ อย่างเศร้าๆ ท่ามกลางคนมากมายที่มายืนรอข้ามถนนที่นี่ น้ำตาซึมอีกแล้ว ไม่รู้จะเศร้าอะไรขนาดนั้น ชั้นเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวผู้ชายแถวนั้นแอบถ่ายรูปชั้นอีก ไม่รู้จะเอาไปทำแกลอรี่ ความเศร้าที่ชิบูย่าหรือว่าอะไร แต่ชั้นก็ยังคงนั่งซึมๆคนเดียวต่อไป เสียงเพลง เสียงโฆษณา เสียงผู้คนมากมายแถวนั้น ทำให้ชั้นยิ่งไม่อยากลุกจากที่นี่ไปเลย

ชั้นนั่งอยู่ตรงที่เดิมประมาณ 2 ชั่วโมง เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้จะ 4 ทุ่มแล้ว ได้เวลาที่จะต้องกลับแล้ว ชั้นยกมือข้างขวาตั้งขึ้นบนศรีษะ พูดในใจว่า “ไปก่อนนะ” และหักใจลุกจากที่นั่นไปสถานีรถไฟเพื่อกลับที่พัก


เช้าต่อมา ชั้นเก็บข้าวของเพื่อ Check out ชั้นแบกกระเป๋าหนักๆ และเดินทางไปสวนสาธารณะอุเอโนะเพราะสถานีรถไฟที่ตรงไปยังสนามบินนาริตะอยู่แถวนั้น ก่อนจะขึ้นรถไฟไปยังสนามบินนาริตะ ชั้นเดินเล่นแถวสวนสาธารณะอุเอโนะ ขึ้นไปยังศาลเจ้าอุเอโนะ ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางไปฝากครอบครัวและพี่ที่ทำงานเก่า และนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง อากาศเย็นๆ เงียบสงบ มองดูผู้คนเดินไปมา มองดูต้นไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ชั้นชอบความรู้สึกนี้จริงๆ มันเป็นความเศร้าที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


ชั้นนั่งรถไฟไปลงสนามบินนาริตะ ไปนั่งรอที่เกทขึ้นเครื่องบิน ชั้นมาก่อนเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง แอบเสียดายเหมือนกัน น่าจะเอาเวลานั่งรอขึ้นเครื่องไปเดินเล่นเที่ยวโตเกียวให้คุ้มกว่านี้ แต่ก็แอบกลัวว่าจะมาไม่ทันขึ้นเครื่องเลยต้องเผื่อเวลาเอาไว้ ณ ตอนที่รอขึ้นเครื่องมีชั้นเพียงคนเดียวที่นั่งรอบริเวณนั้น ได้แต่นั่งดูพนักงานสนามบินทำงานกันอยู่ข้างนอก

ความรู้สึกตอนนั้นชั้นเหมือนคนอกหักจริงๆนะ เหมือนกำลังจากคนรักยังไงก็ไม่รู้ เมื่อชีวิตความเป็นจริงมันต้องเดินต่อไป แม้ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของเราที่จะได้ไปอยู่ในจุดที่เราต้องการได้ แต่เชื่อว่าสักวันนึงชั้นจะได้ไปถึง

กลับบ้านนะ..สัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก

นี่เป็นทริปที่ชั้นมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยล่ะ


Copyright © 2014 I just wanna be a freelancer