Friday, November 20, 2015

ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” DAY2



เข้าสู่วันที่ 2 กับการมาค้นหาตัวเองที่โตเกียว ชั้นตื่นประมาณ 9 โมง ออกเดินทางไป Asakusa เพื่อชมวัดเซนโซจิ

ที่นี่คนเยอะมากจริงๆ แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็ยังเห็นชาวญี่ปุ่นทั้งวัยทำงาน ทั้งนักเรียน มาเที่ยวที่นี่ ส่วนนักท่องเที่ยวก็เยอะเป็นปกติอยู่แล้ว ชั้นเดินมาตั้งขากล้องสำหรับถ่ายรูปมือถือที่หน้าวัด เพราะอยากถ่ายรูปตัวเองกับโคมไฟวัด บริเวณนั้นมีทั้งชาวต่างชาติ ชาวญี่ปุ่นมาถ่ายรูปกันเยอะแยะไปหมด การมาคนเดียว มันก็ลำบากหน่อยตรงที่เวลาอยากมีรูปตัวเองแต่ไม่มีเพื่อนถ่ายให้นั่นแหละ ก่อนมาแฟนของชั้นก็ซื้อขาตั้งสำหรับถ่ายรูปให้ เพื่อที่ชั้นจะได้ไม่ต้องเคอะเขินขอคนอื่นถ่ายรูปให้


ระหว่างที่ชั้นเซ็ตกล้องถ่ายรูป ด้วยความที่ขากล้องมันเอียงๆ ถ้าเซ็ตไม่ดีมันจะล้มได้ ชั้นจึงรีบถ่าย ทำท่าแบบกังวลๆ ลุงชาวญี่ปุ่นที่กำลังถ่ายรูปอยู่แถวนั้นพอดีเห็นเข้า ก็มายืนจับขากล้องให้ ขอเสียของการใช้ขากล้องนี้คือ เราจะไม่ได้รูปแบบแนวตั้งเลย เพราะด้ามยึดมันเอาไว้สำหรับตั้งมือถือแนวนอนอย่างเดียว ลุงชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็เสนอถ่ายรูปแนวตั้งให้ชั้น ภาพที่ลุงถ่ายออกมาสวยมาก พร้อมแนะนำชั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งชั้นพอเข้าใจได้นิดหน่อย ลุงแกแนะนำว่า ควรมีทั้งรูปแนวนอนและแนวตั้ง ชั้นกับลุงยืนดูรูปในมือถือที่แกถ่ายให้ แล้วแกก็ชี้ให้เห็นองค์ประกอบภาพที่แกถ่ายออกมา ลุงแกน่ารักจริงๆนะ ชั้นก็ได้แต่กล่าวคำขอบคุณแกไป





อึดอัดเลยสักนิด ได้เห็นกลุ่มนักเรียนยืนดูของฝาก คุยกัน หัวเราะกัน วิ่งไปวิ่งมา ดูแล้วมันก็สุขใจดีนะ ครั้งหนึ่งเมื่อตอนชั้นเรียน ม.ปลาย ชั้นก็อยากมีชีวิตแบบพวกเขาเนี่ยแหละ แต่ก็ทำไม่ได้ นึกย้อนไปตอนชั้นเป็นเด็ก ม.ปลาย ชั้นคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่มีปัญหาอยู่เหมือนกันนะ เป็นเด็กที่ไม่มีความสดใส ร่าเริง เหมือนเด็กทั่วๆไป ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ไม่ค่อยได้ไปโรงเรียน มีแต่ความเครียด คิดมาก เป็นการใช้ชีวิตเด็กที่ไม่คุ้มเลยจริงๆ







ระหว่างที่ชั้นเดินไปรอบๆวัด ความรู้สึก ความใฝ่ฝันที่อยากจะมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะมาตั้งต้นเรียนภาษาญี่ปุ่นสักปีนึง ต่อด้วยเรียน ป.โท ถ้าหางานทำได้ก็ทำเลย แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้มันก็ยังเป็นได้แค่ความอยากเหมือนเดิม ชั้นไม่มีเงินพอที่จะทำได้หรอกนะ ใครว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ ? นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วล่ะว่าเงินมันช่วยได้




หลังจากเดินทั่ววัดแล้ว ชั้นก็เดินไป Tokyo Sky Tree ที่จริงเราสามารถนั่งรถไฟจาก Asakusa ไปได้ แต่ชั้นอยากเดิน เพราะชั้นรู้ว่าถ้านั่งรถไฟ มันได้เห็นแค่บรรยากาศในรถไฟ เห็นคนนั่งนิ่งๆ อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เล่นมือถือบ้าง ซึ่งชั้นเห็นจนเบื่อแล้ว จาก Asakusa ไป Tokyo Sky Tree มันก็ไม่ได้ไกลมากนัก ชั้นเดินไปตามทิศที่ชั้นเห็นยอด Tokyo Sky Tree เลย เดินไป ชมบรรยากาศข้างทางไป ชั้นมีจุดประสงค์ที่จะไปที่นั่นเพื่อขึ้นรถ Sky Duck เป็นรถทัวร์ชมเมืองและสามารถแปลงเป็นเรือได้ด้วย ชั้นจำจากเว็บไซต์ที่ดูเมื่อคืนได้ว่าอยู่แถวสถานีรถไฟ Tokyo Sky Tree ชั้นคิดว่าคงหาได้ไม่ยาก แต่ไม่เลย เดินวนรอบห้าง รอบตึก ยังไม่เจอที่ซื้อตั๋วเลย ชั้นต้องไปถามประชาสัมพันธ์จนได้ความว่ามันอยู่ตรงจุดที่ชั้นเดินวนเวียนหาอยู่หลายรอบแล้ว เซ่ออีก

ชั้นตั้งใจจะขึ้นรอบ 12.00 ซึ่ง ณ เวลาที่ชั้นไปถึงเคาท์เตอร์คือ 11.55 พนักงานถึงกับร้องหูย และถามชั้นว่าจะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำนะ หน้าต่างรถไม่มีนะจะหนาวมาก ไกด์พูดแต่ญี่ปุ่นนะ ชั้นก็บอกว่าโอเคๆๆ แบบลนๆ เพราะรู้ว่าคนญี่ปุ่นตรงเวลามาก ชั้นกลัวว่าถ้าคุยไปเรื่อยๆ มันจะเลย 12.00 พนักงานจะแนะนำเส้นทางให้ ชั้นก็รีบโอเคๆๆ รีบยื่นเงินให้เลย เพราะศึกษามาจากเว็บแล้ว และอยากขึ้นรถตรงเวลา และชั้นก็ขึ้นรถเวลา 12.00 พอดี รถก็ออกทันทีเลย รถคันนี้มีแต่ชาวญี่ปุ่น มีชั้นคนเดียวที่เป็นชาวต่างชาติ ไกด์ก็พูดแต่ญี่ปุ่นและไม่มีหูฟังหรือเครื่องมือใดๆ แปลงภาษาเหมือน Sky bus รถทัวร์นี้อาจสร้างมาเพื่อนำเที่ยวเฉพาะคนญี่ปุ่นก็เป็นได้ มีแต่ชาวต่างชาติแบบชั้นที่เสล่อขึ้นมาหรือเปล่า




เส้นทางรถนี้ขับรอบ Tokyo Sky Tree และออกชมรอบเมือง ชั้นไม่เข้าใจที่ไกด์พูดเท่าไหร่ จับใจความได้ว่า มีการแนะนำร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ เวลาที่รถขับผ่าน ไกด์น่ารักมาก เวลาขับผ่านสถานที่ที่คนเยอะๆจะชวนลูกทัวร์ โบกมือให้คนข้างทาง พร้อมกับแจกนกหวีดทรงเป็ดผลิตที่จีน ที่เป่าแล้วจะมีเสียงเป็ดออกมา เอาไว้ใช้ทักทายคนข้างทางได้ เมื่อมาถึงแม่น้ำรถก็กลายมาเป็นเรือ ขับวนอยู่กับที่สักพักนึง ไกด์ก็แนะนำอะไรสักอย่างที่ชั้นฟังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแม่น้ำนี้ แต่ถึงแม้ว่าชั้นจะฟังไม่รู้เรื่องเลยตลอดเส้นทางแต่ชั้นก็มีความสุขที่ได้มากับทัวร์นี้นะ ได้เห็นหลายๆครอบครัวญี่ปุ่นที่มากับทัวร์นี้ด้วยกัน เห็นเค้ายิ้ม เค้าหัวเราะ ชั้นก็มีความสุขไปด้วย จากนั้นรถทัวร์ก็วนกลับมาที่เดิม ชั้นก็เดินทางกลับที่พักไปนอนเอาแรงสัก 2 ชั่วโมง

ชั้นตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 6 โมงเย็น วินาทีที่ชั้นตื่นมาชั้นรู้สึกแปลกๆเหมือนใจมันหวิวๆชอบกล เราเหงาหรือเปล่า? ก็ไม่นะ แต่มันรู้สึกเคว้งๆในใจยังไงก็บอกไม่ถูก ชั้นรีบสลัดความรู้สึกนั้นออก อาบน้ำแต่งตัวไปรปปงหงิ ตามแพลนที่ชั้นวางไว้

แต่เมื่อมาถึงรปปงหงิ บอกตรงๆว่าชั้นรู้สึกเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะชั้นมากลางคืน หรือชั้นไปตรงจุดที่ไม่มีอะไร ชั้นเห็นแต่ห้างสรรพสินค้า ตึกสูงๆ มีร้านหรูๆเต็มไปหมด แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของชั้น ชั้นไม่ชอบความหรูหราหรือชอบการช็อปปิ้งแต่อย่างใด ชั้นเลยตัดสินใจเดินทางไปชิบูย่าอีกครั้ง เพราะใจชั้นอยากไปมาก บอกแล้วว่าทริปนี้ตามใจตัวเองสุดๆ

เมื่อมาถึงชิบูย่าชั้นก็เดินเล่นไปมาเรื่อยๆ หาร้านราเมงนั่งทาน ทางข้ามชิบูย่านี่ชั้นเดินข้ามเปรียบเสมือนเป็นรันเวย์ อยากข้ามก็ข้าม ไม่มีจุดหมายอะไรทั้งนั้น

ระหว่างที่ชั้นเดินเล่นอยู่แถวนั้นอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายญี่ปุ่นใส่ชุดสูททำงาน สูงเท่าชั้น (165 ซม) หน้าตาไม่แย่ เดินเข้ามาทัก มาถามว่าชั้นมาจากไหน มาทำอะไร เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นแท้ๆ เค้าอยากคุยด้วยเพราะอยากฝึกภาษาอังกฤษ (สงสัยทำไมไม่ไปคุยกับฝรั่ง ชั้นนี่หน้าเอเชียไทยแท้แต่ดั้งเดิม) และบอกให้ชั้นพูดอังกฤษช้าๆ เค้าฟังไม่ทันเค้าฝึกอยู่ ชั้นเลยถามไปเลยว่า ต้องการอะไร เค้าก็ตอบกลับมาเลยว่า I wanna tell you that “I LOVE YOU” (ช็อค) You are very beautiful (x2) ชั้นก็ตอบไปว่า OK Thank เค้าก็พยายามถามว่าชั้นจะไปไหน เค้าจะแนะนำให้ กินข้าวเย็นหรือยัง ชั้นก็บอกว่ากินแล้ว นางก็พยายามจะชวนไปกินเบียร์อีก ชั้นก็ปฏิเสธไป นางก็ถามว่าชั้นจะไปไหน ชั้นเลยบอกว่าจะกลับโรงแรมแล้ว ดึกแล้วจะไปนอน นางก็ถามอีกว่า จะไปกับเค้าใช่มั้ย? เอากับนางสิ ชั้นก็ปฏิเสธจนนางยอม นางก็บอกว่า โอเค ไม่เป็นไร ยินดีที่ได้รู้จักนะ และขอจับมือ 1 ที ชั้นก็จับมือไปตามมารยาท ชั้นไม่ได้รังเกียจหรือกลัวอะไรเค้าหรอกนะ ชั้นก็มองว่ามันเป็นเรื่องขำๆ การพูดคุยกับเค้าตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะภาษาอังกฤษเค้าก็ไม่ดี ต้องพูดหลายๆรอบ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง อีกอย่างนึงคือชั้นไม่ใช่สไตล์ใครชวนไปไหนก็ไปด้วย เพราะชั้นตั้งใจมาเดินมาเที่ยวมาปล่อยความคิดที่นี่คนเดียวอยู่แล้ว ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ ตอนแรกนึกว่าตัวเองสเปคฝรั่งอย่างเดียว แต่ที่จริงก็เป็นสเปคคนญี่ปุ่นได้ด้วยเหมือนกัน 555 

0 comments:

Post a Comment

Copyright © 2014 I just wanna be a freelancer