ชั้นตื่นมาเวลาเดิมพร้อมกับความคิดที่ว่าวันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ชั้นต้องเดินทางกลับไทย
วันนี้ชั้นต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มที่สุด
ชั้นเดินทางไปสถานีโตเกียวโดยรถไฟ
JR
เนื่องจากที่นั่นมีบริการรถบัสเที่ยวชมเมืองที่ชื่อว่า Sky
Bus Tokyo เมื่อชั้นออกจากสถานีโตเกียวชั้นพยายามมองหาตึก
Mitsubishi แต่หาไม่เจอ
ชั้นเลยกลับไปที่สถานีเพื่อถามทางกับเจ้าหน้าที่ ชั้นตัดสินใจถามเป็นภาษาญี่ปุ่น และนี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้พูดภาษาญี่ปุ่นแบบเป็นประโยคเต็มๆ
ครั้งแรก ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาจากเจ้าหน้าที่นั้นกลับเป็นภาษาอังกฤษ
ชั้นก็เข้าใจว่าหน้าของชั้นมันไม่ญี่ปุ่นเลยสักนิด
ชั้นไปตามทางที่เจ้าหน้าที่แนะนำ
ก็พบว่ามันไม่ได้ไกลจากสถานีโตเกียวเลยสักนิด ชั้นเข้าไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์
ชั้นเลือกเส้นทาง Tokyo Tower และสะพานเรนโบว์ แบบ Non-Stop
คือ ไม่มีการจอดให้คนลงระหว่างทาง
พนักงานแจกเสื้อกันฝน
เนื่องจากที่นั่งยังชื้นๆจากเมื่อวานที่ฝนตกทั้งวัน และหูฟัง
สามารถฟังคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษได้
รอบนี้มีแต่คนญี่ปุ่นอีกแล้ว
รถบัสเที่ยวนี้ขับผ่าน
ปราสาท Imperial โตเกียวทาวเวอร์ สะพานเรนโบว์ กินซ่า ฮิบิยะ แล้ววนกลับมาที่เดิม
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ได้ ระหว่างที่รถแล่นไปตามเส้นทาง
ไกด์ญี่ปุ่นก็บรรยายสถานที่ไปเรื่อยๆ
ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลาแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
ช่วงจังหวะที่รถกำลังขับข้ามสะพานเรนโบว์ด้วยความเร็วระดับหนึ่ง
ชั้นอยากจะตะโกนดังๆจริงๆเลยว่า “ไม่อยากกลับเลยโว้ยยยยยย”
แต่ชั้นก็เกรงใจไกด์และคนญี่ปุ่นที่นั่งมาด้วย
ชั้นเลยทำได้แค่ตะโกนในใจตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมา
เมื่อรถบัสวนกลับมาจอดที่ตึก
Mitsubishi เป็นอันสิ้นสุดทัวร์รอบนี้ จุดหมายต่อไปคือ Odaiba
ชั้นนั่งรถไฟไปลง Shimbashi
เพื่อไปต่อรถไฟ Yurikamome
ซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งไปยัง Odaiba
ณ ตอนที่ชั้นเดินขึ้นไปยังชานชาลา
มีรถไฟมารอเทียบชานชาลาพร้อมเดินทางอยู่แล้วแต่ชั้นเลือกที่จะยืนรอรถไฟขบวนถัดไป
และรอจุดทางขึ้นประตูทางเข้าแรก เพื่อที่จะได้ที่นั่งหน้าสุด ชั้นรอเพียงแค่ 10
นาทีเท่านั้น ชั้นก็ได้ขึ้นรถไฟและได้ที่นั่งที่ชั้นตั้งใจไว้
เนื่องจากหัวขบวนรถไฟนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นกระจกสามารถมองทางข้างหน้าได้
การได้นั่งข้างหน้าจะทำให้ได้เห็นมุมมองที่กว้างออกไป
ชั้นนั่งไปจนถึงสถานีสุดท้าย
เพราะเพียงแค่อยากนั่งรถไฟชมเกาะก็เท่านั้น
บริเวณแถวนั้นมีสวนสาธารณะที่หลายๆครอบครัวพากันมานั่งพักผ่อน ชมวิวทะเล
ที่นี่เงียบสงบ บรรยากาศดีจริงๆ
หลังจากเดินรอบสวนสาธารณะนี้แล้วชั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานีใกล้ๆ
Aqua City ซึ่งเป็นห้างใหญ่ของเกาะนี้
และบริเวณรอบๆห้างก็มีสิ่งที่น่าสนใจเช่น เทพีเสรีภาพจำลอง
ที่พักชมวิวที่สามารถมองเห็นสะพานเรนโบว์ และยังมีหาดที่ผู้คนสามารถลงไปเล่นกันได้
แต่ ณ วันที่ชั้นไปไม่มีคนลงไปเล่นเท่าไหร่นัก เพราะอากาศมันก็เย็นพออยู่แล้ว
คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวเล่นแถวนี้เยอะมาก
ชั้นเห็นคนไทยใส่ชุดครุยรับปริญญามาถ่ายรูปคู่กับเทพีเสรีภาพจำลองอยู่ 2 คนด้วยนะ
นอกจากนี้ก็เห็นมีแข่งวิ่งมาราธอน
ถึงแม้ว่าที่นี่คนจะเยอะ
แต่ก็ยังสงบ
สมกับที่คนญี่ปุ่นสร้างเกาะนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักผ่อนของเมืองโตเกียวจริงๆ
เสร็จสิ้นการเที่ยวชมที่
โอไดบะ จุดหมายที่ชั้นจะไปต่อก็คือ ชิบูย่า ชั้นไปอีกแล้ว ชั้นไปทุกคืนจริงๆ
และเพราะมันเป็นคืนสุดท้ายเนี่ยแหละ ชั้นถึงไปชิบูย่าแต่หัววัน
ชั้นแค่อยากใช้เวลาคืนสุดท้ายกับที่ที่ชั้นชอบมากที่สุด
เชื่อมั้ยว่าทั้งวันนั้นชั้นยังไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ อยู่ได้เพียงแค่น้ำขวดเดียว
มันเป็นปกติของชั้นนะเวลาไปต่างประเทศ ชั้นจะไม่เจริญอาหาร
แม้ว่าชั้นจะชอบอาหารญี่ปุ่นมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ก่อนที่ชั้นจะเป็นลมไปแบบไม่รู้ตัว
ชั้นควรจะหาอะไรทานสักนิดนึง ชั้นเลยตัดสินใจไปร้านซูชิที่ชิบูย่า
เป็นร้านที่สามารถสั่งอาหารได้จากหน้าจอส่วนตัวบนที่นั่งของตัวเอง
สักพักอาหารที่เราสั่งไปจะส่งมาตามสายพานและมาจอดที่ด้านหน้าเรา
เวลานั้นคนไม่เยอะสักเท่าไหร่
รอไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งข้างในร้านแล้ว ชั้นสั่งซูชิแค่ไม่กี่จานชั้นก็อิ่มแล้วล่ะ
เด็กเกาหลีที่นั่งข้างชั้นนี่สั่งซะจานที่กินเสร็จตั้งจะสูงกว่าหัวเขาอยู่แล้ว
ถ้าชั้นยังเป็นเด็ก ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ชั้นคงสั่งกระจุยเหมือนกันล่ะ
ก็หน้าจอที่สั่งอาหารมันหน้ากดเล่นซะขนาดนั้น
ทานเสร็จชั้นก็เดินเล่นรอบชิบูย่าเหมือนเดิม
ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ ความรู้สึกคงเหมือนตอนชั้นมาเดินเที่ยวสยามสแควร์ใหม่ๆตอนอายุ
15 คราวนี้ชั้นเริ่มเข้าไปเดินเล่นในร้านแล้วล่ะ ทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านขายของ
แค่ดูจริงๆ ไม่คิดจะซื้ออะไรเลย และก็เข้าไปในร้าน Tower Record ร้านขายซีดีเพลง อารมณ์แบบ Dj สยาม บ้านเรา
ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่มั้ย วันนั้นมีศิลปินมาเปิดตัวที่ร้านด้วยมีแฟนคลับจำนวนนึงมายืนรอหน้าเวทีที่ตั้งอยู่ในร้าน
ชั้นก็เอากับเค้าด้วย ไม่รู้หรอกว่าใครมาแต่อยากดู จนกระทั่งศิลปินขึ้นมาทักทายแฟนคลับ
เริ่มร้องเพลง ชั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนแนะนำตัวชั้นก็ฟังไม่ทัน
รู้แต่ว่าเป็นศิลปินเกาหลีชัวร์ๆ
หลังจากชั้นเดินออกจากร้านชั้นก็ตัดสินใจไปต่อคิวสตาร์บัค
เพื่อขึ้นไปนั่งบนร้านตรงด้านที่หันหน้าเข้าทางข้ามชิบูย่า
ชั้นเล็งมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตอนนี้เวลามีเหลือเฟือเลยขอขึ้นไปสักครั้ง
ชั้นสั่งวานิลลาปั่น แล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งด้านบน โชคดีว่าคนญี่ปุ่นที่นั่งตรงที่ติดกระจกกำลังลุกพอดี
ชั้นเลยได้ที่นั่งตรงจุดนั้นไป
แม้ว่าจะเป็นด้านที่ไม่ได้หันหน้าเข้าใจกลางทางข้ามชิบูย่าตรงๆ แต่ชั้นก็โอเคล่ะ
ระหว่างที่ชั้นนั่งอยู่ในร้านสตาร์บัค
ชั้นก็เอาไดอารี่ของตัวเองที่ตั้งใจเอามาเขียนบันทึกการเดินทางในโตเกียวนี้มาเขียน
เชื่อมั้ย เขียนไป น้ำตาไหลไป ดีนะนั่งอยู่ตรงหัวมุม คนไม่ค่อยสังเกตุเห็น
เวลานั้นชั้นอยากจะหยุดเวลาได้จริงๆ ชั้นว่าชั้นรู้แล้วล่ะ ว่าชั้นควรกำหนดเส้นทางตัวเองไปทางไหน
ก่อนมาที่นี่ชั้นมีแผนชีวิตตัวเองมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานฟรีแลนซ์สายกฎหมายตลอดชีวิต หรือ การกลับไปทำงานใน Law
Firm ในไทยอีกครั้ง
หรือ การหลีกเลี่ยงการทำงานและไปเรียนต่อโทกฎหมายในไทยไปก่อนพลางๆเพราะไม่มีตังค์ไปต่อนอก
หรือ การทำงานอะไรสักอย่างเพื่อหาเงินพาตัวเองไปต่อโทกฎหมายที่อเมริกา อังกฤษ
อย่างที่หลายๆคนในสังคมรอบตัวชั้นมองว่าดี แผนที่ว่ามาน่ะ ในใจจริงๆ
ชั้นไม่อยากทำสักอย่างเลยนะ แต่เชื่อมั้ยว่าไม่ว่าชั้นจะอยู่ในสถานการณ์ไหน 1 ใน
แผนชีวิตที่ชั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกจะต้องมีการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น
ไม่ว่าตัวเองจะเป็นเด็ก ม ปลาย เรียนมหาวิทยาลัย ทำงาน Law
Firm เป็นฟรีแลนซ์
แผนการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมันจะต้องมีตลอด
และมันจะเป็นแผนที่ชั้นจะอยู่ในจุดที่ยังทำไม่ได้แต่มีความสุขเวลานึกถึงทุกครั้ง
ชั้นคิดว่าชั้นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไปยังจุดตรงนั้นแล้วล่ะ
เลิกคิดที่จะไปตามทางที่คนรอบข้างมองว่าดีแต่ตัวเองไม่ได้มีความสุขที่จะได้ทำจริงๆซักทีเถอะนะ
ชั้นเดินออกมาจากร้านสตาร์บัคแล้วไปนั่งตรงที่นั่งบริเวณทางข้ามชิบูย่า
พรุ่งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วนะ ชั้นมองขึ้นไปบนตึกต่างๆ อย่างเศร้าๆ
ท่ามกลางคนมากมายที่มายืนรอข้ามถนนที่นี่ น้ำตาซึมอีกแล้ว
ไม่รู้จะเศร้าอะไรขนาดนั้น
ชั้นเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวผู้ชายแถวนั้นแอบถ่ายรูปชั้นอีก
ไม่รู้จะเอาไปทำแกลอรี่ ความเศร้าที่ชิบูย่าหรือว่าอะไร แต่ชั้นก็ยังคงนั่งซึมๆคนเดียวต่อไป
เสียงเพลง เสียงโฆษณา เสียงผู้คนมากมายแถวนั้น
ทำให้ชั้นยิ่งไม่อยากลุกจากที่นี่ไปเลย
ชั้นนั่งอยู่ตรงที่เดิมประมาณ
2 ชั่วโมง เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้จะ 4 ทุ่มแล้ว ได้เวลาที่จะต้องกลับแล้ว ชั้นยกมือข้างขวาตั้งขึ้นบนศรีษะ
พูดในใจว่า “ไปก่อนนะ” และหักใจลุกจากที่นั่นไปสถานีรถไฟเพื่อกลับที่พัก
เช้าต่อมา
ชั้นเก็บข้าวของเพื่อ Check out ชั้นแบกกระเป๋าหนักๆ
และเดินทางไปสวนสาธารณะอุเอโนะเพราะสถานีรถไฟที่ตรงไปยังสนามบินนาริตะอยู่แถวนั้น
ก่อนจะขึ้นรถไฟไปยังสนามบินนาริตะ ชั้นเดินเล่นแถวสวนสาธารณะอุเอโนะ
ขึ้นไปยังศาลเจ้าอุเอโนะ ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางไปฝากครอบครัวและพี่ที่ทำงานเก่า
และนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง อากาศเย็นๆ เงียบสงบ มองดูผู้คนเดินไปมา
มองดูต้นไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ชั้นชอบความรู้สึกนี้จริงๆ
มันเป็นความเศร้าที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ชั้นนั่งรถไฟไปลงสนามบินนาริตะ
ไปนั่งรอที่เกทขึ้นเครื่องบิน
ชั้นมาก่อนเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง แอบเสียดายเหมือนกัน
น่าจะเอาเวลานั่งรอขึ้นเครื่องไปเดินเล่นเที่ยวโตเกียวให้คุ้มกว่านี้
แต่ก็แอบกลัวว่าจะมาไม่ทันขึ้นเครื่องเลยต้องเผื่อเวลาเอาไว้ ณ
ตอนที่รอขึ้นเครื่องมีชั้นเพียงคนเดียวที่นั่งรอบริเวณนั้น
ได้แต่นั่งดูพนักงานสนามบินทำงานกันอยู่ข้างนอก
ความรู้สึกตอนนั้นชั้นเหมือนคนอกหักจริงๆนะ
เหมือนกำลังจากคนรักยังไงก็ไม่รู้ เมื่อชีวิตความเป็นจริงมันต้องเดินต่อไป แม้ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของเราที่จะได้ไปอยู่ในจุดที่เราต้องการได้
แต่เชื่อว่าสักวันนึงชั้นจะได้ไปถึง
กลับบ้านนะ..สัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก
นี่เป็นทริปที่ชั้นมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยล่ะ