ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” DAY3
วันนี้ฝนตกปรอยๆ
แต่เช้าเลย ชั้นนั่งรอที่ล็อบบี้ที่พักเพื่อหวังว่าฝนจะหยุดตก
แต่นั่งรอมาครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด ชั้นเลยตัดสินใจเดินออกจากที่พัก
ไปขึ้นสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อไปสถานีชินจูกุโดยใช้แค่สมุดบันทึกบังผมเอาไว้แค่นั้น
เมื่อชั้นเดินออกมาจากสถานีชินจูกุ
ฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดตกอยู่ดี ชั้นเดินตรงไปที่ Tokyo Metropolitan
Government Building เพื่อขึ้นไปชมวิวเมืองโตเกียวฟรีจากบนตึกนี้
มีคนจำนวนหนึ่งเดินทางมาที่นี่เพื่อมาชมวิวเช่นกัน ก่อนขึ้นลิฟต์จะมีรปภ.คอยยืนขอตรวจกระเป๋าอย่างสุภาพอยู่
และยังมีพนักงานคอยดูแลกดลิฟต์ พาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นชมวิวให้
เมื่อชั้นขึ้นมายังชั้นบน
บรรยากาศค่อนข้างเงียบ คนไม่เยอะวุ่นวาย และเนื่องจากวันนี้ฝนตก
ชั้นจึงไม่ค่อยเห็นวิวจากตึกนี้ชัดมากนัก ที่จริงแล้วจากตึกนี้
ถ้าสภาพอากาศดีจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลย แต่ในวันนี้แค่วิวใกล้ๆ
ชั้นก็มองเห็นไม่ค่อยชัดแล้ว น่าเสียดายเหมือนกัน แอบปลอบใจตัวเองว่า
เอาไว้ตอนย้ายมาเรียน มาใช้ชีวิตที่นี่ ค่อยขึ้นมาอีกก็ได้เนอะ..ชั้นก็หวังว่าวันนั้นมันจะมาถึงเร็วๆ
แม้ว่ามันดูจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกินสำหรับชั้นในตอนนี้ก็เถอะนะ
ในระหว่างที่ชั้นเดินชมวิวอยู่บนตึกฝั่งทิศเหนือ
ชั้นแอบเหลือบไปเห็นผู้ชายแขกๆคนนึงนั่งอยู่ และมองมาที่ชั้นอย่างน่ากลัว
ชั้นก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินชมวิวต่อไป ช่วงที่ชั้นกำลังจะลงลิฟต์เพื่อออกไปยังที่หมายต่อไป
ตอนแรกชั้นคิดแล้วว่าครั้งนี้ชั้นคงลงลิฟต์คนเดียวแล้วล่ะ ทิศเหนือคนน้อยหว่าทิศใต้เยอะมาก
พนักงานก็กดลิฟต์ให้ชั้น ชั้นเดินเข้าไปในลิฟต์คนเดียว ระหว่างที่ลิฟต์กำลังจะปิด
อยู่ดีๆลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับแขกน่ากลัวๆคนนั้น ก็เดินเข้ามาในลิฟต์ด้วย
กลายเป็นว่ามีชั้นและเค้าอยู่ในลิฟต์ 2 คน ชั้นยอมรับว่าชั้นเริ่มกลัวแล้วล่ะ
ระหว่างที่ลิฟต์ค่อยๆปิด พนักงานกดลิฟต์ก็โค้งคำนับจนกระทั่งลิฟต์ปิดไป
ชั้นอยากจะกดเปิดลิฟต์แล้วเดินออกไป แต่มันก็เป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินไป
ชั้นเลยยืนนิ่งๆ ทำหน้านิ่งๆ ยืนชิดมุมลิฟต์ พยายามทำให้ตัวเองดูน่ากลัวที่สุด
ในใจก็ลุ้นให้ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างให้เร็วที่สุด เมื่อลิฟต์เปิดออกชั้นโล่งใจมาก รีบเดินออกจากลิฟต์ชั้นเห็นแขกคนนั้นเหมือนจะเดินตามชั้นมา
ชั้นรีบเดินไปร้านขายของฝากเพราะคิดว่าเป็นที่ที่คนเยอะที่สุดแล้ว
สักพักชั้นก็เหลือบไปเห็นแขกคนนั้นเดินลงบันไดเลื่อนไป พร้อมกับมองมาที่ชั้น
ชั้นไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่ แต่เค้าดูน่ากลัวมากจริงๆ เมื่อชั้นมั่นใจแล้วว่าเค้าไปแล้วจริงๆ
ชั้นจึงเดินออกจากตึกไป
ชั้นเคยได้ยินมาบ้างแล้วล่ะว่ามาเที่ยวญี่ปุ่นน่ะ
ที่น่ากลัวไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรอก แต่เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ที่นั่นต่างหาก
เมื่อชั้นออกมาจากตึกชั้นก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น
ฝนยังคงตกปรอยๆเช่นเคย ชั้นเดินกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อไปศาลเจ้าเมจิ
ชั้นลงที่สถานี โยโยกิ ฝนดูท่าจะตกหนักขึ้น ชั้นเลยตัดสินใจซื้อร่มที่ Family
Mart ราคาประมาณ
300 บาท แต่ก็เป็นร่มที่แข็งแรงดีนะ พับเก็บได้
ชั้นมองหาร้านอาหารเพราะยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเลย ชั้นตัดสินใจเลือกร้านทงคัตสึ
ตอนก่อนจะเข้าไปในร้าน แอบกลัวๆนิดนึง
เพราะร้านอยู่ชั้นบนของตึกแถวต้องขึ้นบันไดไป แอบกลัวเล็กๆว่าขึ้นไปบนร้านแล้วจะเป็นยังไง
แต่พอขึ้นไปก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นร้านอาหารท้องถิ่น
ลูกค้านั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะ
พนักงานเดินเอาเมนูมาให้
ซึ่งเป็นเมนูภาษาญี่ปุ่นล้วน ชั้นก็เลือกเมนูอาหารที่ตัวเองพออ่านออกอย่างทงคัตสึ
ตั้งแต่ชั้นเข้าร้านอาหารในญี่ปุ่นนี้มา
ไม่น่าจะเป็นร้านที่อยู่ท่ามกลางแหล่งท่องเที่ยว หรือร้านอาหารท้องถิ่นธรรมดา
พนักงานร้านก็ยังคงสุภาพเหมือนกันหมด
พนักงานเอาอาหารมาเสริ์ฟให้ชั้น
เป็นเซตอาหาร มีทงคัตสึ ข้าว ผักดอง และซุปหอย
ตอนแรกชั้นแอบไม่กล้ากินซุปหอยมากนักเพราะดูขุ่นๆ แปลกๆ แต่พอลองชิมแล้วมันก็อร่อยดีนะ
กินหมดเลยล่ะ นั่งแคะหอยกินอีกต่างหาก
ชั้นเดินกางร่มตรงไปที่ศาลเจ้าเมจิ
ที่นี่ดูกว้างใหญ่จริงๆ มีหลายครอบครัวญี่ปุ่นที่เดินมาสักการะที่นี่พร้อมกับแต่งชุดกิโมโน
แม้คนจะเยอะแต่ก็ยังสงบ ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ความคิดในหัวเกี่ยวกับชีวิตของชั้นก็เริ่มแล่นออกมาอีก
เหลืออีกแค่ 2 วันเองนะ ที่จะได้อยู่ที่นี่ ชั้นจะต้องกลับประเทศไทย
ไปทำงานฟรีแลนซ์เช่นเดิม ก่อนออกจากงานบริษัทก็คิดมาตลอดเลยนะว่าถ้าเป็นฟรีแลนซ์ชีวิตชั้นคงมีความสุขน่าดู
แต่พอมาเป็นแล้วมันก็ไม่ได้สุขอย่างที่คิด ทำงานแบบเดียวกับที่ทำให้กับบริษัทเลย
แต่ความรับผิดชอบเยอะกว่ามาก ไหนจะความกลัวที่จะหาลูกค้าไม่ได้ ไม่มีเงินใช้อีก
ความสบายใจที่หวังไว้มันแทบจะไม่มี ถึงว่าสินะ
คนเรามักไม่ค่อยพอใจจุดที่ตัวเองยืนอยู่หรอก มักจะคิดว่าจุดยืนอื่นๆที่เราไม่ได้ยืนอยู่มันดีกว่าเสมอ
สักพักน้ำตาของชั้นก็เริ่มเอ่อออกมาอีกครั้ง แต่ชั้นก็พยายามกลั้นมันเอาไว้
ชั้นไม่ได้อยากจะมานั่งร้องไห้ที่นี่หรอกนะ
ชั้นเดินออกจากศาลเจ้าเมจิตรงไปยังฮาราจูกุ
ฝนดูท่าจะไม่หยุดตกเลยจริงๆ แต่ที่ฮาราจูกุคนก็ยังแน่นอยู่ดี
ชั้นไม่ได้ตั้งใจมาซื้อของช็อปปิ้งอะไรที่นี่หรอก
ชั้นแค่อยากมาดูชีวิตวัยรุ่นที่นี่ต่างหาก
ชั้นเดินดูบรรยากาศรอบๆ
และตัดสินใจเดินจากฮาราจูกุไปชิบูย่า มันไม่ได้ใกล้ แต่มันก็ไม่ได้ไกลขนาดที่ชั้นจะเดินไปไม่ได้
ชิบูย่าในตอนกลางวันที่ฝนตก
ก็ยังคงคึกครื้นเหมือนเดิม ชั้นตั้งใจแค่อยากเดินผ่านมาเห็นก็แค่นั้น
ชั้นมาขึ้นรถไฟใต้ดินสถานีชิบูย่าไปลงสถานีกินซ่า
ที่กินซ่านี้เสาร์อาทิตย์เขาจะปิดถนนให้คนเดินช่วงบ่าย
กินซ่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารหรูๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้สนใจ
ชั้นแค่อยากมาที่นี่เพื่อมารับบรรยากาศถนนคนเดินก็เท่านั้น
แม้ชั้นจะไม่ได้สนใจร้านค้าแห่งนี้
แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจนะ ถนนกว้างๆ ตึกสูงๆ สวยๆ เรียงรายริมถนน
ชาวญี่ปุ่น ชาวต่างชาติทั้งเด็ก วัยรุ่น สูงอายุเดินเล่น ถ่ายรูปกันขวักไขว่
มันเป็นภาพที่ชั้นชอบที่จะได้เห็นน่ะ แถมอากาศยังเย็นสบายอีกต่างหาก
คืนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม
กลับไปนอนพักแล้วออกมาเดินเล่นที่ชิบูย่า ชั้นชอบชิบูย่าเพราะมันทำให้ตอนกลางคืนของชั้นไม่รู้สึกเหงาแม้ว่าชั้นจะอยู่คนเดียว
ฝนตกหนักกว่าเดิม
ทุกคนเดินถือร่ม มองจากมุมบน
ทางข้ามชิบูย่าที่คนข้ามถนนต่างเดินถือร่มก็สวยไปอีกแบบ
แต่พอลงไปเดินเองกลับไม่ได้ดูชิลขนาดนั้น เพราะร่มมันเกี่ยวกันไปหมด
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ชั้นเลยตัดสินใจนั่งรถไฟกลับที่พัก
ระหว่างที่ชั้นนั่งรถไฟ
ชั้นจับความรู้สึกตัวเองได้ ความเศร้าเข้ามาอีกแล้ว ชั้นนั่งนิ่ง มองดูคนในรถไฟ
แปลกใจตัวเองทำไมถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้ ชั้นมีความสุขจะตายที่ได้มาที่นี่
พอมาถึงที่พัก
ชั้นส่งข้อความหาแฟนของชั้นที่ไทย ว่า “ชั้นไม่อยากกลับไปเลย ชั้นอยากอยู่ที่นี่”
แฟนก็โทรมาหาชั้นผ่านทางระบบเฟซบุ๊ค ถามว่าเป็นอะไร ชั้นแค่บอกตามใจตัวไปว่า
ชั้นมีความสุขมากที่ได้มาที่นี่ ได้อยู่ที่นี่ ไม่อยากกลับเลย ตอนก่อนมารู้สึกดีกับที่นี่มากแค่ไหน
ตอนมาที่นี่รู้สึกดีมากกว่าที่คิดไว้ มันอาจจะเป็นได้ที่ว่าชั้นเพิ่งอยู่ไม่กี่วัน
อะไรๆยังใหม่อยู่ แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะชั้นไปประเทศอื่นที่สวย ผู้คนใจดี แต่ไม่เคยรู้สึกอยากใช้ชีวิตเลย
ไม่เหมือนความรู้สึกที่ให้กับที่นี่ เรื่องคนชั้นได้ยินมามากแล้วล่ะ ว่าคนญี่ปุ่นอาจไม่ได้ดีอย่างที่เห็นฉากหน้า
ชั้นก็เคยรู้สึกไม่ดีกับครูญี่ปุ่นตัวเองนะ
ครูไทยที่เคยอยู่ญี่ปุ่นก็เคยบอกว่าคนญี่ปุ่นขี้นินทามาก
ต่อหน้าทำดีลับหลังนี่แย่ยิ่งกว่าอะไร เรื่องแบบนี้ชั้นไม่รังเกียจหรอก เพราะคนไทยก็ใช่ย่อยซะที่ไหน
ทุกวันนี้ที่ชั้นหลงใหลการอยู่คนเดียว ก็เพราะเจอคนลักษณะเนี้ยบ่อยๆเข้านี่ล่ะ
ทั้งตอนเรียนและตอนทำงาน ชั้นได้ภูมิคุ้มกันจากที่ไทยมาเยอะแล้วล่ะ
สังคมมันก็เป็นแบบนี้ล่ะมีทั้งคนดี คนไม่ดี ไม่ว่าจะไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง หรือชาติไหนๆ
แฟนชั้นพยายามปลอบใจบอกว่าเหลืออีกตั้ง
2 วัน ก็อยู่ให้คุ้มสิ ไม่นะ สำหรับชั้นมันต้องใช้คำว่าแค่ 2 วันต่างหาก ณ
ตอนนั้นร้องไห้ใหญ่เลยล่ะ มีช่วงที่สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าจะร้องไห้ทำไม
แต่ความรู้สึกของชั้นมันอยากร้องไห้นี่นา
ท้ายสุดแล้วคืนนั้นชั้นก็ได้แค่บอกตัวเองว่า กลับไทยนะ ทำงาน หาเงิน
แล้วกลับมาที่นี่อีกให้ได้นะ
0 comments:
Post a Comment