ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” (DAY1 Part 1)
เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาชั้นออกเดินทางไปโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่น ค่ะ ชั้นจองตั๋วเครื่องบินและที่พักไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากที่ทำงานเก่าเพื่อมาเป็นฟรีแลนซ์เอง
ทริปนี้ชั้นตั้งใจออกเดินทางคนเดียวเพราะเป็นคนที่หลงใหลการเดินทางคนเดียวมากประกอบกับตัวชั้นเองที่อยู่ในช่วงสับสนชีวิต
การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวจะทำให้ชั้นมีเวลาที่จะได้คุยกับตัวเองมากขึ้น
ทำไมถึงเป็น “โตเกียว” ? เพราะเป็นเมืองที่ชั้นใฝ่ฝันจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัย
ม. ปลาย
ขั้นเคยจมอยู่กับความฝันว่าชั้นจะได้ไปเรียน ไปใช้ชีวิต ไปทำงานที่นั่น แต่ ณ
เวลาที่ผ่านมา ชั้นไม่มีทางทำให้มันเป็นจริงได้
เพราะด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่เอื้ออำนวยให้ตัวเองสามารถทำแบบนั้นได้
แม้แต่ไปเที่ยวชั้นยังทำไม่ได้เลย เมื่อชั้นเรียนจบ
เริ่มใช้ชีวิตพนักงานกินเงินเดือน ชั้นก็เริ่มเก็บออมเงินเพื่อที่จะได้พาตัวเองไปเที่ยวที่นั่นดูสักครั้ง
สาเหตุที่ทำได้แค่ไปเที่ยวมันเป็นเพราะการที่ชั้นรู้ดีว่า
การเป็นพนักเงินเดือนมันยังไม่สามารถทำให้ชั้นเก็บเงินได้มากพอขนาดได้ไปเริ่มต้นชีวิตที่นั่นได้หรอก
แม้ว่าอาจจะทำได้ แต่ก็คงนานน่าดู แค่เก็บเงินไปเที่ยวที่นั่นได้ ก็เต็มที่แล้ว
และวันที่ชั้นรอคอยก็มาถึง…
ชั้นแบกเป้หนักๆไปนึงใบ กับกระเป๋าผ้าสีดำเล็กๆไว้สำหรับใส่ของสำคัญๆ
เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างที่ชั้นนั่งอยู่ในรถไฟ Airport Link ชั้นตื่นเต้นเหลือเกิน
เหมือนชั้นกำลังพาตัวเองเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาผจญภัยอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อรถไฟ Airport Link มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
ความตื่นเต้นดีใจยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ชั้นเดินไปนั่งรอที่หน้า Gate ขึ้นเครื่อง
ระหว่างที่ชั้นนั่งรอขึ้นเครื่องชั้นก็พบว่าชั้นถูกรายล้อมไปด้วยชาวญี่ปุ่น
ดูท่าว่าเที่ยวบินนี้จะมีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ได้ ด้วยความที่ชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นมาอยู่บ้าง
พอฟังออกนิดหน่อยก็ลองพยายามเงี่ยหูฟัง สิ่งที่เค้าคุยกัน
แต่ก็แทบจะไม่รู้เรื่องเลยอยู่ดี
เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง
ชั้นก็รีบเดินขึ้นเครื่องเพื่อไปนั่งที่นั่งที่จองไว้อย่างตื่นเต้นเช่นเคย
ชั้นเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ผู้โดยสารที่นั่งข้างชั้นเป็นชายชาวญี่ปุ่นวัยกลางคน
ชั้นมองสำรวจที่นั่ง และสิ่งรอบๆภายในเครื่องบิน
นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเดินทางโดยเครื่องบินแบบ Full Service แม้จะเป็นชั้น Economy แต่ชั้นก็รู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิมมาก
อีกทั้งมีหน้าจอส่วนตัวที่ชั้นสามารถเปิดหนัง เพลง หรือ รายการต่างๆดูได้
ทำให้ชั้นไม่เบื่อกับการนั่งเครื่องบิน 6-7 ชั่วโมง แต่เที่ยวบินนี้เริ่มบิน 4
ทุ่มครึ่ง จะไปถึงที่โตเกียวตอน 6 โมงครึ่ง ตามเวลาของญี่ปุ่น
ชั้นจึงจำเป็นต้องหลับ ต้องพักผ่อนให้เต็มที่
เพื่อที่จะได้มีแรงท่องเที่ยวทันทีเมื่อถึงโตเกียว
แต่อย่างไรก็ตาม
ชั้นก็ไม่สามารถนอนหลับอย่างเต็มที่ได้
จำนวนเวลาที่หลับจริงๆ น่าจะไม่ถึง 2 ชั่วโมง ประมาณเกือบ 6
โมงเช้าแอร์ก็เริ่มแจกอาหารเช้า ชั้นจึงขอดื่มกาแฟด้วย
ทั้งๆที่เป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่กลัวจะไม่มีแรงจริงๆ เลยต้องดื่ม
เมื่อเครื่องบินบินเข้าสู่น่านฟ้าเขตประเทศญี่ปุ่นและกำลังลดระดับเพื่อลงจอดที่สนามบินฮาเนดะ
ชั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ณ เวลานั้น ชั้นมีความสุขจริงๆนะ น้ำตาเอ่อเลยล่ะ
ถึงซักทีสินะ รอคอยวันนี้มานานมากแล้ว
ความรู้สึกเหมือนประเทศญี่ปุ่นเป็นคนคนนึงที่ชั้นรอคอยที่จะได้เจอมานานแสนนาน
เมื่อลงจากเครื่องชั้นก็ตรงไปที่ด่าน
ตม. ตอนก่อนมาญี่ปุ่น ชั้นแอบกลัวนิดๆ
ว่าจะมีปัญหาอะไรมั้ยนะ ผู้หญิงไทยมาเที่ยวคนเดียว
เจ้าหน้าที่จะสงสัยอะไรในด่านลบหรือเปล่า แต่เมื่อไปถึงด่านตม. จริงๆ กลับไม่เป็นอย่างที่ชั้นกลัวเลย
เจ้าหน้าที่สุภาพมาก รับ Passport
ชั้นไปติดสติ๊กเกอร์ และให้ชั้นผ่านด่านไปอย่างง่ายดาย
ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย รู้สึกสบายใจมากกว่า ด่าน ตม. ประเทศอื่นเยอะเลย
จากนั้นชั้นก็ตรงไปที่เคาท์เตอร์ขายบัตรรถไฟ
เพื่อซื้อบัตร Tokyo
Metro Pass แบบ 3 วัน
นอกจากบัตร Tokyo Metro
Pass ในราคาประหยัด
ชั้นก็ได้มาพร้อมกับตั๋วรถไฟเดินทางเข้าตัวเมือง
โดยชั้นสามารถนั่งจากสนามบินฮานะดะไปลง Asakusa ได้เลย สาเหตุที่ไปลง Asakusa เพราะว่าที่พักที่ชั้นพักอยู่ตั้งอยู่ใกล้สถานี Inaricho เมื่อลงจากสถานี Asakusa ชั้นก็เปลี่ยนรถไฟไปลง Inaricho ได้เลย เพียงแค่ 2 สถานีจาก Asakusa
ระหว่างที่ชั้นนั่งรถไฟเข้าสู่ตัวเมือง
ชั้นก็มองบรรยากาศรอบๆ มองออกนอกหน้าต่าง มองผู้คน มองการแต่งกายของพวกเขา
จนชั้นแอบละอายใจที่ชั้นใส่รองเท้าแตะมาเมืองเขาจริงๆ
เมื่อลงจากสถานี
Asakusa ชั้นจึงรีบเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบทันที
เมื่อมาถึงสถานี Inaricho มันก็ถึงเวลาที่ชั้นต้องเดินตามหาโรงแรมแล้วล่ะ
ระหว่างที่ชั้นเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินชั้นก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ
อากาศ ณ ตอนนั้น อยู่ที่ 13 องศา
ด้วยความที่ตัวเองมาจากประเทศเมืองร้อนและไม่เคยไปเที่ยวเมืองหนาวเลยสักครั้ง
อากาศ 13 องศาจึงหนาวมากสำหรับชั้น เสื้อกันหนาวที่ชั้นสวมอยู่ก็ไม่ได้หนามากมายซะด้วย
แต่ชั้นก็ชอบนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าร้อนล่ะ
เพราะส่วนตัวไม่ชอบเดินเที่ยวในที่ที่อากาศร้อนมากๆ อยู่ที่หนาวๆก็ดี
จะได้ไม่ต้องมองหาที่ที่มีแอร์
ชั้นกางแผนที่ที่ปริ๊นท์มาจากเว็บของที่พักของชั้น
โชคดีที่เขาบอกละเอียดมาก พร้อมมีภาพประกอบเสร็จสรรพ ทำให้ชั้นหาได้ไม่ยาก
ชั้นเดินทางมาถึงที่พักตอน 8 โมงกว่าๆ
ซึ่งยังไม่สามารถ Check
in ได้ เพราะเวลา
Check in คือตอนบ่าย 3
ชั้นเลยขอฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักก่อนเพื่อจะได้เที่ยวสะดวกขึ้น
ที่ที่แรกที่ชั้นเลือกที่จะไปคือ
สวนสาธารณะอุเอโนะ เนื่องจากอยู่ใกล้ๆ ที่พัก นั่งรถไฟใต้ดินต่อเดียวถึง
ชั้นเดินอย่างช้าๆ รับบรรยากาศสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่นี้
ใบไม้เริ่มมีเปลี่ยนสีบ้างแล้ว ถ้าชั้นมาช้ากว่านี้สักสองสามอาทิตย์
ที่นี่คงเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง ณ ตอนนั้น ที่นี่เงียบสงบมาก
มีคนจำนวนไม่มากที่มาที่นี่ อาจเป็นเพราะมันคือช่วงเวลาทำงานด้วยล่ะ
ด้วยอากาศที่หนาวเย็น บรรยากาศเงียบสงบ ความร่มรื่นและความสวยงามของที่นี่มันทำให้ความรู้สึกของชั้นมันอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก
ชั้นชอบความรู้สึกแบบนี้จริงๆ
มันทำให้ชั้นสามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
ระหว่างที่ชั้นเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ความคิดที่เกี่ยวกับอนาคตชีวิตของชั้นก็เริ่มค่อยๆเกิดขึ้น
ความรู้สึกเคว้งคว้าง สับสน ไม่รู้จะไปทางไหนของตัวเอง ที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ชั้นจะทำอะไรต่อไปดี? ชั้นจะเป็นฟรีแลนซ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ? เรียนต่อโทแบบที่คนอื่นเค้ามองว่าดีเลยดีมั้ย ? และถ้าไปต่อโทจะเรียนที่ไหนล่ะ? เรียนที่ไทยหรอ? อยากทำจริงๆหรอ? หรือจะไปต่อ
อเมริกา อังกฤษ แบบที่คนอื่นเค้าไปกัน? แล้วเราไปทำตามเค้า
เราจะมีความสุขมั้ย? รู้สึกเฉยๆกับสิ่งนั้น แต่คนอื่นมองว่าดี
เลยจะทำตามหรอ?
หรือเก็บเงินมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่นี่อย่างที่ฝันไว้มานานแสนนานดีมั้ย? แต่จะคุ้มหรือเปล่า? ณ ตอนนั้นชั้นสับสนและยังหาคำตอบไม่ได้
ชั้นก็ปล่อยให้ความคิดของชั้นมันแล่นออกไปเรื่อยๆ มันต้องมีสิ
หนทางที่เรามีความสุขจริงๆ ที่จะได้ทำมัน สิ่งที่มันสามารถเป็นจริงได้ และส่งผลดีต่ออนาคตของเรา
เราต้องเลือกให้ได้
ชั้นเดินไปถึงศาลเจ้าอุเอโนะ
โทโชกุ มีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเรื่อยๆ
มีชาวต่างชาติอย่างชั้นมาเยี่ยมชมอยู่บ้าง ชั้นเดินไปที่ศาลาที่ไว้สำหรับล้างมือ
ระหว่างที่ชั้นกำลังอ่านป้ายวิธีล้างมือแบบที่ถูกต้องตามประเพณี
ก็มีเด็กฝรั่งคนหนึ่งเดินเข้ามาหาชั้น พร้อมกับสอนวิธีการล้างมือที่ถูกต้องให้ชั้น
ชั้นก็เออออไปกับเค้าด้วย พร้อมกับมองความน่ารักของเขา
สักพักแม่ของเขาก็เดินมาตามพร้อมดุนิดๆว่า อย่าไปกวนคนอื่นเขา
เด็กผู้หญิงคนนั้นก็สวนกลับไปว่า “หนูแค่กำลังโชว์วีธีล้างมือให้เขา”
(ภาษาอังกฤษนะ) จากนั้นแม่ก็จูงมือเด็กกลับบ้านไปพร้อมกล่าวขอโทษชั้น
ชั้นก็ได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร และส่งยิ้มให้
เดินออกจากที่นั่นมาก็เจอสวนสัตว์อุเอโนะ
ชั้นเลือกที่จะนั่งพักอยู่ที่หน้าสวนสัตว์อุเอโนะ
เพราะที่แห่งนี้มีเด็กอนุบาลจากหลายๆโรงเรียนมาทัศนศึกษา
แต่ละกลุ่มจะใส่หมวกสีเดียวกัน เพื่อจะได้มองหาได้ง่าย น่ารักมากจริงๆ
พอเดินต่อไปเรื่อยๆก็เจอพิพิธภัณฑ์ศิลปะ
ดูท่าจะเป็นที่นิยม คนมาดูกันเยอะมาก
แต่ด้วยความที่ชั้นไม่ค่อยได้หลงใหลในศิลปะเท่าไหร่นักเลยไม่ได้เข้าไปชมกับเค้า
ชั้นเลือกที่จะเข้าไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแทน
เพราะคิดว่าน่าจะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับชนชาตินี้ ชั้นเข้าไปซื้อตั๋วแบบพิเศษ
เพราะคิดว่ามาทั้งทีต้องได้เห็นแบบทั่วถึง สรุปว่าตั๋วแบบ Special สิ่งที่ได้เห็นเพิ่ม
งานพิพิธภันฑ์เกี่ยวกับจิ๋นซีฮ่องเต้ นั่นเอง
ชั้นรู้สึกได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นสนใจและใส่ใจรายละเอียดในพิพิธภัณฑ์มาก
คนจำนวนมากเดินทางมาที่นี่ ดูสิ่งที่โชว์ในพิพิธภันฑ์ อ่านข้อความบรรยายอย่างตั้งใจ
ส่วนชั้นออกจะให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาดูพิพิธภัณฑ์มากกว่านะ
นอกจากนี้ในส่วน
Regular ก็จะมีพิพิธภัณฑ์สวนญี่ปุ่น
และพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเอง
ชั้นเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ประมาณเที่ยงครึ่ง
เห็นกลุ่มนักเรียนนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่ที่สวนอุเอโนะ
ชั้นก็คิดว่าได้เวลาของเราแล้วเหมือนกันที่ต้องประเดิมอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น
ชั้นเดินไปที่ตลาดอะเมะโยะโกะ โชเต็งไก ตลาดที่ขายของหลากหลายและราคาไม่แพง
อีกทั้งมีร้านอาหารให้เลือกเต็มไปหมด ชั้นเลือกเข้าร้านที่ชื่อขึ้นต้นด้วย โชะกุจิ
เนื่องจากเขียนเป็นฮิรางานะเลยอ่านออก
ชั้นเลือกร้านนี้เพราะเห็นเด็กนักเรียนเดินออกมากันเยอะมากเลยคิดว่าน่าจะอร่อยและไม่แพง
เลยเข้าไป อาหารมื้อแรกชั้นสั่งแกงกระหรี่ อยากเทสต์ว่ารสชาติเหมือนกับที่ไทยมั้ย
ในระหว่างที่ชั้นรออาหาร ชั้นก็มองบรรยากาศรอบๆ
เห็นพนักงานที่กระตือรือร้นทำงานและสุภาพกับลูกค้าตลอดเวลา
ลูกค้าที่ทานอาหารไปพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ไหนจะวัยรุ่นผู้ชาย 2
คนที่นั่งใกล้ๆกับชั้นที่เพิ่งเข้ามาแล้วเอาไพ่มาเล่นกัน
แกงกระหรี่ที่นี่รสชาติไม่ต่างจากที่ไทย
ไม่สิ..ต้องบอกว่า ที่ไทยทำออกมาได้ค่อนข้างเหมือนต้นตำรับอย่างญี่ปุ่น
เมื่อชั้นทานเสร็จ ชั้นเริ่มไม่แน่ใจว่าชั้นควรเรียกพนักงานมาเช็คบิล
หรือชั้นต้องเดินออกไปจ่ายที่เคาท์เตอร์เอง
ชั้นมองไปที่เคาท์เตอร์ชำระเงินเห็นลูกค้ายืนจ่ายค่าอาหารอยู่
ชั้นเลยมั่นใจแล้วว่าต้องไปที่เคาท์เตอร์ ชั้นจึงเก็บของและเดินออกไป
สักพักวัยรุ่นที่นั่งข้างชั้นก็เรียก เฮ้ๆๆ แล้วหยิบบิลที่อยู่บนโต๊ะชั้นมาให้ชั้น
ชั้นจึงถึงเข้าใจว่าเค้าเอาบิลมาวางไว้ตั้งแต่แรกแล้วเพื่อที่ลูกค้ากินเสร็จจะได้ถือไปจ่ายที่เคาท์เตอร์ได้เลย
ทำไมชั้นเซ่อจัง
ทานอาหารเสร็จเวลานั้นก็เกือบๆบ่าย
2 แล้ว ใกล้เวลาได้เช็คอินที่พัก
ประกอบกับชั้นก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้วเนื่องจากลงจากเครื่องบินมาก็ไม่ได้พักเลย
เลยอยากจะกลับที่พักไปนอนสัก 2-3 ชั่วโมง
ชั้นมาถึงที่ที่พักก่อนบ่ายสามจึงถามพนักงานต้อนรับว่าขอเข้าห้องเลยได้มั้ย
เพราะเหนื่อยมาก พนักงานต้อนรับก็ขึ้นไปดูห้องให้แล้วบอกว่าห้องเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เข้าพักได้เลย ชั้นดีใจมากๆ ชั้นจะได้เวลาพักผ่อนแล้ว
ชั้นเข้าอยู่ห้องพักเดี่ยว
เป็นห้องเล็กๆกระทัดรัด ชั้นชอบห้องแบบนี้นะ
ถ้ามันใหญ่จนเกินไปแล้วนอนคนเดียวในที่แปลกถิ่นชั้นคงรู้สึกแปลกๆ ไปด้วย
ชั้นเอนตัวลงนอนและนอนหลับอย่างรวดเร็ว
แพลนของชั้นคืนนี้คือการไปเยือนชิบูย่า ชั้นเห็นจากหนังหลายเรื่องแล้ว
ถึงเวลาที่ชั้นจะได้ไปเห็นของจริงด้วยตาของชั้นเองสักที
0 comments:
Post a Comment