Friday, August 7, 2015

Trip note EP1 : หนีความตึงเครียดจากออฟฟิศ ไปเดินเล่นที่กัวลาลัมเปอร์ part 1


เนื่องจากเมื่อช่วงสี่ห้าเดือนก่อนหน้านู้นนนนั่งกดดูราคาตั๋วเครื่องบินเล่นๆ ในเว็บแอร์เอเชียเล่นๆคาดหวังจะได้ไปเที่ยวกับเค้าบ้าง แม้ตังค์จะมีไม่มากแต่ก็อยากเจียดไปให้เป็นรางวัลชีวิตตัวเองสักหน่อย
จนมาเจอตั๋วไปกลับกรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ ไปกลับ ประมาณ สองพันได้ เห็นปุ๊บไม่คิดไรมาก กดซื้อเลยเพราะมันตรงกับช่วงวันหยุดติดกัน วันพอดีด้วยแม้ว่าจะมีวันนึงที่คนอื่นเค้าหยุดกันแต่บริษัทที่ทำอยู่ไม่หยุดกับเค้าด้วยเราก็ลาพักร้อนไปสักหนึ่งวัน

ด้วยความที่จองล่วงหน้าไว้นานมากก็ได้แต่เฝ้ารอนอนรอเพื่อให้ถึงวันที่จะได้หลบหนีความวุ่นวายในที่ทำงานไปเดินเที่ยวชิลๆบ้าง

และวันเดินทางก็มาถึงสักที

ระยะทางจากกรุงเทพไปกัวลาลัมเปอร์ใช้เวลาบินประมาณ ชั่วโมงได้ กำลังดี ไม่น่าเบื่อมาก
พอมาถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ปุ๊บแน่นอน..ว่าต้องไปด่าน ตม. ของเขาก่อน
บอกเลยว่านานมากกกกยืนรอไปเกินหนึ่งชั่วโมงได้ กว่าจะผ่านด่านเค้า




จากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองด้วยKLIA Express เป็นรถไฟจากสนามบินวิ่งเข้าตัวเมือง จบที่สถานี KL Sentralอารมณ์ Airport link บ้านเรา สภาพรถไฟดีกว่าที่คิดเยอะ สะอาด นั่งสบาย และเร็วมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นได้ชัดเลยว่า บ้านเมืองเค้าดูพัฒนากว่าเราในระดับนึงเลยตึกราบ้านช่องดูเป็นระเบียบ ดูสะอาด ดูน่าอยู่ ดูแล้วสบายตา

เมื่อมาถึง KL Sentral ก็นั่ง Monorail ไปลงสถานี RajaChulan เป็นสถานีที่ใกล้Guest House ที่เราจองไว้ สถาน Monorail เค้าเหมือนรถแมล์ที่แล่นบนรางลอยไฟ คันเล็กๆป้อมๆเวลานั่งก็รู้สึกเหมือนนั่งรถเมล์



เมื่อถึงจุดหมายก็ลงลากกระเป๋าเดินหา Guest house ถามทางกับ รปภสถานี Monorailภาษาอังกฤษใช้ได้เลยล่ะเห็นเรากำลังมองๆแผนที่อยู่ ก็เดินเข้ามาถามเลยว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย

Guest house ที่เราพักอยู่ในซอย เดินจาก สถานี Monorail ประมาณเกือบ 10 นาทีได้พอเดินมาเห็นทางเข้าก็ตกกระใจ เห็นป้ายชื่อ Orange Pekoe Guest house ที่เราจองไว้ เห็นแต่ประตูทางเข้า เก่าๆโทรมๆดูน่ากลัวไม่น่าอยู่เหมือนในเว็บของเขา แต่ทำไงได้ จองมาแล้ว จ่ายเงินไปแล้วก็ต้องเข้าไปล่ะตอนแรกก็ต้องกดกริ่งหน้าประตูก่อน มีกล้องติดอยู่หน้าประตูจากนั้นคนของเขาก็ปลดล็อคประตูให้ เราก็ต้องเดินขึ้นไป ใจเต้นตุบๆลุ้นว่าจะต้องเจออะไร ขึ้นไปประมาณ ชั้นก็เจอLobby และพนักงานต้อนรับ ดูดีดูน่าอยู่กว่าที่คิดไม่เหมือนกับสภาพข้างนอก พนักงานต้อนรับที่เราเจอวันแรกเป็นฝรั่งผู้ชายวัยกลางคนดูใจดี ยิ้มแย้มต้อนรับ แถมแนะนำที่ท่องเที่ยวในกัวลาลัมเปอร์ให้เป็นฉากๆที่ไหนควรไป ไม่ควรไป ควรทำ ไม่ควรทำ วิธีเดินทาง บอกหมด ทำให้เราเข้าใจกว่าเดิมเยอะ


ตอนที่เรามาถึงGuest house ก็ร่วม โมงเย็นแล้วพักผ่อนได้สักพัก ก็เดินทางไปจุด Landmark ของกัวลาลัมเปอร์ นั่นก็คือ ตึก Petronas เราเลือกที่จะเดินจาก Guest house ไปตึก Petronasเนื่องจากไม่ไกลมาก เดินสัก 20 นาทีก็ถึง และเพื่อที่เราจะได้สัมผัส ได้เห็นชีวิตคนเมืองเหลืองของมาเลเซียได้ชัดขึ้นกว่าการนั่งรถสบายๆ

ก่อนจะเดินทางเราก็ขอหาอะไรกินสักหน่อยเราเลือกมานั่งกินร้านอาหาร Local ที่พนักงานของGuest houseแนะนำให้มากิน เราก็อยากจะลองกินอาหารของบ้านเขาด้วยล่ะมาทั้งทีก็ต้องสัมผัสให้เต็มที่ ร้านที่เราเข้าไปนั่งเป็นร้านอาหารแขกๆ แขกเต็มร้านไปหมดเราเข้าไปนี่คนก็มองเพราะดูแปลกกว่าเค้า เดินไปดูเมนูอาหาร เหมือนข้าวราดแกงบ้านเราเราเลือกแกงที่ดูเหมือนมัสมั่นไก่บ้านเรา และก็ไก่ทอด กินไปคำแรกบอกเลย เค็มมากกกเค็มตั้งแต่ข้าว แกงก็ไม่ค่อยมีรสอะไรมาก มันๆเค็มๆ แต่ก็ต้องทำหน้าอร่อยเวลากินเพราะคนท้องที่เค้าเหมือนจะมองๆเราตลอด เราก็ต้องยิ้มแล้วทำท่ากินด้วยความอร่อย


และด้วยความที่ชอบกินโรตีมากก็เลยสั่งโรตีไมโลมาลองดู อย่างที่เห็นในภาพข้างล่าง โรตีมากับแกง โรตีจะแห้งๆพอกินได้ เอาเป็นมื้อแรกในมาเลเซีย กินเพื่ออยู่จริงๆ


ระหว่างเดินทางไปที่ตึกPetronas เรารู้สึกได้เลยว่าบ้านเมืองเขาสะอาดมากและดูเป็นระเบียบไม่มีขยะบนถนน ไม่มีขอทานนั่งอยู่เต็มทางเดิน ไม่มีมอเตอร์ไซค์ขับบนทางคนเดินเห็นบนท้องถนนมีรถติดบ้างเพราะเวลานั้นน่าจะเป็นช่วงหลังเลิกงานของเขาพอดีแต่ก็ไม่ดูแน่นขนัดแบบถนนสาทรบ้านเรา


ตึก Petronas เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดของโลกระหว่างเดินทางจะมองเห็นยอดตึกเกือบตลอดเวลา


เมื่อมาถึงจะเจอกลุ่มคนมาถ่ายรูปตึกกันเต็มไปหมดตึก Petronas เหมาะแก่การมาตอนกลางคืนเพราะจะดูสวยกว่าตอนกลางวันมากด้วยไฟที่เปิดจากยอดตึกตัดกับสีท้องฟ้าที่ดำไฟที่ส่องแสงทำให้ตึกสีเทานี้เป็นประกายระยิบระยับ ดูแล้วน่าหลงใหล ดูแล้วไม่รู้สึกว่าดีแต่สูงจริงๆ



เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินอ้อมไปหลังตึกซึ่งเป็นสวนสาธารณะและมีบ่อน้ำอยู่ ช่วงที่เราเดินไปถึงก็เห็นน้ำพุสีรุ้งที่กำลังวอร์ม พร้อมที่จะโชว์ให้นักท่องเที่ยวให้ดู




โชว์น้ำพุนี้ใช้แสงไฟหลากสี เสียง และเทคนิคการทำน้ำพุ ทำออกมาได้สวย เพลินตามากๆ เป็นจุดที่เรียกนักท่องเที่ยวได้อย่างดีเลยล่ะเรานั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ ดูแล้วไม่เบื่อเลย โชว์นี้มีทุกวัน ประมาณ สองทุ่ม ถึงสามทุ่ม

ดูจบก็ได้เวลาเดินทางกลับGuest house พักผ่อน เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปมะละกา เมืองสวยๆสไตล์ยุโรปสมัยดั้งเดิม
ว่ากันต่อตอนหน้าค่ะ


0 comments:

Post a Comment

Copyright © 2014 I just wanna be a freelancer